เวลาสองทุ่มสิบห้านาที แสงไฟหน้ารถแวบวาบผ่านแนวต้นไม้หนาทึบ มุ่งหน้าสู่ทุ่งโล่งในบ้านรวมไทย ซึ่งห่างจากเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรีในประเทศไทยไม่ถึง 5 กิโลเมตร เช่นเดียวกับทุกค่ำคืน เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ารวมพลเพื่อวางแผนรับมือกับช้างป่าที่จะเริ่มออกหากินในยามราตรีและอาจมุ่งตรงไปยังไร่ของชาวบ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องเข้าสกัดกั้นก่อนที่จะเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวง
แล้วก่อนที่จะเกิดความวุ่นวาย บรรดาเจ้าหน้าที่จะหาตัวช้างท่ามกลางความมืดได้อย่างไร ? คำตอบคือ ก็ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยี
ประวัติศาสตร์ของผืนป่า
เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างปะทุขึ้นในบ้านรวมไทย ป้าประจวบ เผือดทา ย้ายมาที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก ช่วงปี พ.ศ. 2521 เมื่อรัฐบาลไทยจัดสรรที่ดินแก่ชาวบ้านฐานะยากจนเพื่อใช้ในการสร้างบ้านและเริ่มต้นทำการเกษตร
“ตอนแรก [เราปลูกแค่] พืชล้มลุกอย่างพริก แตงกวา และอื่น ๆ” ป้าประจวบกล่าว “แต่พืชพวกนี้อยู่ได้ไม่นานและต้องปลูกใหม่ทุกปี พ่อแม่ของป้าเลยตัดสินใจปลูกสับปะรดแทน”
Pineapple fields surrounding Kuiburi National Park © Neil Challis / WWF
และนั่นเองเป็นตอนที่ช้างป่าเริ่มปรากฏตัวให้เห็น สิ่งที่โขลงช้างเห็นไม่ใช่ไร่นา แต่เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำเรียงรายละลานตาที่รอให้ทั้งครอบครัวมากินได้อย่างอิ่มหนำสำราญ เป็นแหล่งอาหารที่ได้มาอย่างไม่ต้องยากลำบากเหมือนที่เคยหาในป่า ปีแล้วปีเล่าที่ช้างป่าแวะเวียนมาเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ ชาวบ้านจึงคิดหากลยุทธ์เพื่อปกป้องพืชผล บ้านเรือน และชีวิตของพวกเขา
แต่แล้วในปี พ.ศ. 2542 พบช้างป่าสองตัวตายจากการถูกวางยา ในปีเดียวกันนั้น มีการประกาศว่าพื้นที่การเกษตรจำนวนมากจะถูกเรียกคืนเพื่อฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 605,000 ไร่ (96,800 เฮกตาร์) บริเวณพรมแดนติดประเทศเมียนมาร์ ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่อยู่ของโขลงช้างป่าขนาดใหญ่ที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ช้างป่าต่างจากมนุษย์ พวกมันไม่รู้จักขอบเขต พืชพรรณเขียวขจีในพื้นที่คุ้มครองก็ดูไม่ต่างจากพืชพรรณนอกพื้นที่
“ตอนนั้น ช้างป่าน่ากลัวมาก เพราะเราไม่รู้วิธีป้องกันหรือเบี่ยงความสนใจของพวกมันออกจากพืชไร่” ป้าประจวบกล่าว
เมื่อยักษ์ใหญ่รุกล้ำมากินพืชผล สิ่งที่ชาวบ้านทำได้เพื่อพยายามขับไล่ช้างป่าคือการตีหม้อและกระทะให้เกิดเสียงดัง แต่วิธีนี้ไม่ได้ผลเสมอไป ชาวบ้านจึงขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามืออาชีพ
A community member testing a solar-powered alarm which he uses to alert his family of approaching elephants and to scare the animals away © Neil Challis / WWF
เมื่อได้รับแจ้งว่ามีช้างป่าบุกรุก เพื่อควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งให้สงบก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นการปะทะกันรุนแรง เช่น การยิงตอบโต้ หรือการทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) จะลงพื้นที่เพื่อ “ผลักดัน” ช้างกลับเข้าป่า โดยการส่งเสียงดังขณะขี่รถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่จะทำงานร่วมกันเพื่อขับไล่ยักษ์ใหญ่ที่กำลังเดินเตร่กลับไปยังอุทยานแห่งชาติ
แม้ว่ากลยุทธ์นี้มักจะได้ผล แต่ก็อาจทำให้เจ้าหน้าที่เหนื่อยล้าอย่างมากและเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับช้างพลายดุร้าย ในขณะที่มันวิ่งจากทุ่งโล่งแห่งหนึ่งไปปรากฏตัวอีกแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่อาจต้องเล่นไล่จับกับยักษ์ใหญ่ที่ว่องไว หากโชคดี พวกเขาอาจต้องรับมือกับช้างเพียงตัวเดียว ซึ่งกินเวลานานถึงหกชั่วโมงตลอดทั้งคืน เมื่อการไล่จับสิ้นสุดลง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พืชผลจะเสียหายเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้จำนวนมาก
A farmer inspecting for damage by elephants in her pineapple field © Neil Challis / WWF
การใช้เทคโนโลยีเป็นดวงตาคู่พิเศษ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้นำเทคโนโลยีมาช่วยสกัดกั้นช้างป่าก่อนที่บุกไปถึงไร่ของชาวบ้าน กลางทุ่งโล่ง เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสองสามคนรายล้อมคุณวิษณุวิทย์ ทองอ่อน ผู้จัดการอาวุโสของโครงการ WWF ประเทศไทย ประจำกลุ่มป่าแก่งกระจาน ขณะที่เขาวางกระเป๋าเอกสารสีดำที่ดูเหมือนของเจมส์ บอนด์ ลงบนพื้นแล้วเปิดออก เขาหยิบโดรนตรวจจับความร้อนออกมาแล้วเปิดเครื่อง โดรนส่งเสียงหึ่ง ๆ แบบหุ่นยนต์พร้อมกับไฟสีแดงกะพริบ ก่อนจะบินขึ้นไปในอากาศและพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว จนหายลับไปในท้องฟ้าที่พร่างพรายด้วยแสงดาว
Rangers flying a thermal drone to locate any elephants out of the Kuiburi National Park before they enter the community’s crops and homes © Neil Challis / WWF
ด้วยอุปกรณ์ที่เพิ่งนำมาใช้ใหม่นี้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสามารถระบุตำแหน่งและติดตามช้างป่าในความมืดได้ ขณะเดียวกันก็มั่นใจในความปลอดภัยของทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน จากหน้าจอรีโมตคอนโทรลที่คุณวิษณุวิทย์ถืออยู่ เขามองเห็นแผนที่ความร้อนของที่ราบและภูเขาอันกว้างใหญ่ที่รอบ ๆ ตัวพวกเขา ซึ่งเคลื่อนไปตามภูมิประเทศที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
ประมาณ 10 นาทีต่อมา เขาก็พบเห็นรูปร่างสะดุดตาที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นงวง ลำตัวอ้วนป้อม และหาง นั่นคือช้างป่าตัวหนึ่งที่เตร็ดเตร่ออกจากร่มเงาไม้เข้าสู่ทุ่งโล่ง เมื่อล็อกเป้าหมายได้แล้ว คุณวิษณุวิทย์ก็วางแผนกลยุทธ์กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเพื่อสกัดกั้นช้างป่าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบอกชื่อกันเร็ว ๆ ซึ่งฟังดูไม่คุ้นหูสำหรับคนนอก แต่ทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าต่างก็กระโดดขึ้นรถจักรยานยนต์และขี่ไปยังพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางให้ช้างกลับเข้าป่า
Rangers disperse to intercept elephants before they enter farmers’ fields © Neil Challis / WWF
เพื่อระบุตำแหน่งของสัตว์อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า “เอ” คอยมองโทรศัพท์ของเธอเพื่อดูการแจ้งเตือนใด ๆ จากกล้องดักถ่ายภาพเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่พวกเขาติดตั้งไว้รอบ ๆ อุทยาน เมื่อเริ่มทำงาน กล้องจะส่งภาพไปยังศูนย์เฝ้าระวังระบบเตือนภัยล่วงหน้า SMART และโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เอ โดยเร็ว ทันทีที่เได้รับภาพ เอ ซึ่งในระหว่างวันทำงานที่ศูนย์ฯ ด้วย จะรายงานตำแหน่งที่อยู่ของช้างป่าแบบเรียลไทม์ให้เพื่อนร่วมงานทราบผ่านวิทยุสื่อสาร
“เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดพัก เพราะเราไม่รู้ว่าช้างป่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ เราทำแบบนี้ทุกวัน” … หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ประจำ อส. กล่าว
งานที่แต่เดิมต้องใช้ทั้งเวลา พลังงาน และความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหลายสิบนาย บัดนี้ได้รับการแบ่งเบาด้วยเครือข่ายกล้องดักถ่ายภาพ 28 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนซิมการ์ดและระบบโดยบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร โดยติดตั้งไว้ทั่วพื้นที่กันชนระหว่างอุทยานแห่งชาติและพื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบ รวมถึงรายงานการพบเห็นจากสมาชิกในชุมชนผ่านทางโทรศัพท์และแชทกลุ่ม
A network of camera traps connected to a central surveillance centre © Neil Challis / WWF
ในปี พ.ศ. 2565 จำนวนครั้งที่ช้างป่าบุกรุกทำลายพืชผลคิดเป็น 12.36% ของการบุกรุกทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2566 อัตราดังกล่าวลดลงเหลือ 6.89% ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระบบตรวจจับล่วงหน้า ความพยายามร่วมกันของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและเกษตรกร รวมถึงโครงการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัย เพื่อปรับปรุงสิ่งนี้ WWF ประเทศไทย มีเป้าหมายที่จะดำเนินการติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพเพิ่มขึ้น ปรับปรุงสัญญาณโทรศัพท์ และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและลดภาระงานและทรัพยากร